วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

วิธีทำโอโคโนมิยากิ ไสตล์คันไซ(関西風お好み焼き)

วิธีทำโอโคโนมิยากิ ไสตล์คันไซ(関西風お好み焼き)
วันนี้พาเข้าครัวทำโอโคโนมิยากิ สไตล์คันไซกันครับ ซึ่งมีขั้นตอนการทำง่ายๆ เพื่อนๆสามารถนำไปทำทานกันเองที่บ้านได้เลยครับ
ส่วนผสม
-กระหล่ำปลี (ซอยหยาบ) ประมาณ 150-200 กรัม
-เนื้อหมูสามชั้น สไลด์(หั่นให้พอดีคำ) 150-200กรัม(หรือตามความชอบ)
-แป้งสาลี100 กรัม
-ไข่ไก่1ฟอง
-ซอสโอโคโน มิยากิ
-มายองเนส
-ต้นหอมซอย
-สาหร่ายป่น
-ปลาแห้งคัตสึโอะบุชิ
-ขิงดอง
วิธีทำ
1. นำแป้งสาลีผสมน้ำแล้วคนให้เข้ากัน
2. นำกระหล่ำปลีที่ซอยหยาบ, หอม, เกร็ดหรือเศษเหลือจากการทอดเทมปุระ และตอกไข่ลงไปผสมกับแป้งสาลีที่เตรียมไว้ แล้วคนให้เข้ากัน
3. ตั้งกระทะให้ร้อน(แนะนำให้ใช้กระทะไฟฟ้าแบน) พอได้ที่ ก็นำส่วนผสมทั้งหมดเทลงไปในกระทะช้าๆแล้วจัดให้เป็นวงกลมสวยงาม
4. นำเนื้อหมูสไลด์วางด้านบน
5. เมื่อด้านล่างสุกได้ที่แล้ว ให้ใช้ทับพี2อันเพื่อพลิกกลับด้านให้ด้านที่มีเนื้อหมูอยู่ด้านล่าง
6. แล้วรอให้สุก(อาจจะเอาฝาครอบเพื่อให้สุกเร็วขึ้นได้) แต่ระวังอย่าให้นานเพราะจะไหม้ซะก่อน ควรเปิดดูเป็นระยะๆ
7. เมื่อสุกได้ที่แล้วพลิกเอาส่วนที่มีเนื้อหมูไว้ด้านบนอีกครั้ง
8. แล้วราดซอส มายองเนส ปลาแห้งคัตสึโอะบุชิ สาหร่ายป่น หอม และขิงดอง แต่งเติมสีสันให้น่าทัน
เพียงแค่นี้ท่านก็สามารถทานอาหารญี่ปุ่นโอโคโนมิยากิ ได้แล้วที่บ้านครับ
*ส่วนผสมเช่นเนื้อสัตว์และผักต่างๆสามารถเปลี่ยนแปลงตามความชอบของแต่ละบุคคล

ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น

ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นจะแตกต่างกับไข่ตุ๋นไทยๆบ้านเราตรงที่เนื้อไข่จะนุ่ม หอม ไม่กระด้าง น้ำในไข่จะเยอะกว่า บวกกับมีกลิ่นหอมของน้ำปลาโอแห้ง ปล.ถ้าไม่มีปลาโอแห้ง ใช้น้ำซุปแทนได้ครับ


ส่วนผสม


1ท่าน

  1.    ไข่ไก่              2  ฟอง
    1. น้ำร้อน            1   ถ้วย
    2. ปลาโอแห้ง      1  ช้อนโต๊ะ
    3. สาเก               1  ช้อนชา
    4. โชยุ                1  ช้อนชา
    5. กุ้ง                  1  ตัว
    6. เห็ดหอม
    7. ต้นหอมซอย

วิธีทำ

  1. ก่อนอื่น นำปลาโอแห้งมาแช่ในน้ำร้อน20นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ
  2. นำไข่ไก่ สาเก โชยุ มารวมกัน ใส่น้ำปลาโอแห้ง5ช้อนโต๊ะ จากนั้นใช้ซ่อมตีไข่ให้เข้ากัน นำกระชอนถี่ๆมากรองไข่ เพื่อเอาฟองออก และทำให้ไข่เนื้อเนียนขึ้น
  3. เทใส่ถ้วย นำไปนึ่งในซึ้ง 10-15 นาที ใช้ไฟอ่อนๆ ผ่านไปสักพักให้ดูเนื้อไข่ ถ้าเริ่มเซ็ทตัวแล้วให้ใช้ซ่อมจิ้มให้เปนรู ทั่วหน้าไข่ตุ๋น ลวกกุ้งกับเห็ดหอมวางบนข้างหน้าไข่ นึ่งต่อไปอีกสักพักนึง โรยต้นหอมนิดหน่อย พร้อมทานดลยจร้า
  4. ปล. ถ้าเรานำกุ้งกับเห็ดใส่ตอนที่ยังไข่ยังสุก เมื่อไข่สุกแล้ว กุ้งกับเห็ดจะจมในไข่ เราจึงรอให้เนื้อไข่ฟูขึ้นสักพักแล้ววางกุ้งข้างบน

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

คุณสมบัติของการเป็นผู้บริหาร และผู้นำที่ดี


1. การเป็นผู้รู้จักตนเอง(Self realization)

  • รู้ถึงความต้องการแห่งตน
  • รู้ถึงวิธีการสร้างเป้าหมายแห่งตน ไม่ว่าในชีวิตส่วนตัว หรืองาน
  • รู้ถึงขีดความสามารถแห่งตน ที่จะกระทำการใดๆ ได้เพียงใด
  • รู้ถึงวิธีการควบคุมตนเอง การมีวินัยในการใช้ชีวิต และการทำงาน
  • รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อตน และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น
  • รู้ว่าตนจะต้องลงทุนอะไร เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ
  • รู้สึกได้ถึงความสุข ความทุกข์ ที่สัมผัสได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีผู้ไดมาชี้นำ
  • ยอมรับความจริงได้ทุกอย่าง ไม่หลอกตัวเอง

2.การเป็นผู้รู้จักการวิเคราะห์หาเหตุและผล (Analytical Mind)

  • มองทุกสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า(Appearance)อย่างลึกซึ้ง คิดถึงที่ไป ที่มา ไม่ใช่แค่ที่เห็น
  • มองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลึกถึงเหตุปัจจัย (Cause) และสามารถคาดคะเนผลที่เกิดตามมา (Consequence) ในปัจจุบัน และในอนาคตได้
  • เป็นผู้ที่ตั้งคำถามตลอดเวลา "ใคร(Who)? ทำอะไร(What)? ที่ไหน(Where)? เมื่อไร(When)?
    ทำไม(Why) อย่างไร(HOW)? " (5-W 1H)
  • เข้าใจถึง หลักการ "อริยสัจ" ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี
  • เป็นผู้ที่ช่างสังเกต ให้ความสนใจในรายละเอียดเพื่อเก็บมาเป็นข้อมูล
  • มองพฤติกรรมบุคคล (Person) เหตุการณ์ (Event) สามารถโยงถึง หลักการ (Principle) ได้ และ ใช้หลักการ (Principle) สร้างวิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา และป้องกันปัญหา เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ (Event) ที่ต้องการ และ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล (Person) ให้อยู่ภายไต้การควบคุมได้

3. การเป็นผู้เรียนรู้ตลอดกาล (Life Long Learning)

  • มีความรู้สึกว่าตนไม่รู้อะไรอีกมาก และตระหนักถึงความเป็นผู้ใฝ่รู้ตลอดเวลา
  • เข้าใจดีกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้สิ่งที่เคยรู้เมื่อวันวานอาจไม่ใช่ในวันนี้อีกต่อไป
  • มองเห็น สิ่งของ ผู้คน เหตุการณ์ เป็นสื่อสอนตนได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดี หรือสิ่งเลว และสามารถเลือกเก็บมาจดจำ และหยิบออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
  • ใฝ่ค้นหา ติดตาม ความรู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับวิชาชีพ และการดำรงชีวิต
  • มุ่งเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและจริงจังให้เป็นผู้รู้และเข้าใจในแต่ละเรื่องอย่างแท้จริง
  • สามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ถูกเวลา และเหมาะสม
  • การเรียนรู้มี 2 อย่าง เรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้และเรียนรู้สิ่งที่เรารู้ให้รู้มากขึ้น
  • นักปราชญ์บอกไว้ว่า ความรู้ที่แท้จริง คือการ "รู้ว่าเรารู้อะไร" และ "รู้ว่าเราไม่รู้อะไร" เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้น ให้ค้นหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ
  • กระบวนการเรียนรู้ของบุคคล เริ่มจาก ความปรารถนาของตน (Personal Vision) ถูกตั้งไว้ และกำหนดเป็นเป้าหมายใน
    ขั้นตอนของชีวิต เรียนรู้รูปแบบ ความคิดแห่งตนและผู้อื่น (Mental Model) อย่างเข้าใจ
    ให้ความสำคัญกับ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน (Shared vision) อย่างเปิดใจกว้าง และรับฟัง
    ร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จร่วมกัน (Team Llearning)
    รู้จักการคิดเชิงระบบ (System thinking) มีทักษะการวิเคราะห์ มองเหตุผล และมองเห็น คาดการณ์ ผลลัพธ์ในอนาคตได้ และสามารถสังเคราะห์กระบวนการที่สามารถนำไป สู่ความสำเร็จที่ต้องการ ได้
  • ความรู้ดังกล่าวของบุคคลในกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน สามารถ นำไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) และสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Society) ได้ในที่สุด อันเป็น สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมโลกยุคใหม่ (New Society) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง รวดเร็ว และไม่สิ้นสุด

4. ความเข้าใจในจิตวิทยาการบริหาร

ในการบริหารงาน คงจะไม่ผิดนักหากจะพูดว่าพูด "คือการบริหารคน" นั่นเอง เพราะ คน เป็นผู้กำหนด วิธีการหรือระบบ (System) การได้มาและการบริหารการใช้ไปของทรัพยากร(Resource Management) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผลสำเร็จของงาน การที่จะบริการคนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ มีอารมณ์ และการแสดงออกที่ซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา และมักมี "เป้าหมายซ่อนเร้นแห่งตน (Hidden Agenda)" อยู่ภายในเสมอ ทำให้การบริหารยาก และไม่อาจ กำหนดผลลัพธ์ อย่างตรงไปตรงมา ได้ ผู้นำที่เข้าใจจิตใจ ของมนุษย์ หากสามารถวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ต่อจิตใจของคนได้ ก็จะสามารถคาดเดา พฤติกรรม แสดงออกของคนคนนั้นได้ไม่อยาก และสามารถที่จะสร้างสถานการณ์รองรับไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกัน ผลเสียหายจากปฏิกริยาตอบโต้ของคนได้

5. การเป็นคนดี "Good Person"

คนเก่ง และคนดีเป็นของคู่กัน แต่บางครั้งไม่ไปด้วยกัน "คนเก่ง" สร้างได้ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่เฒ่า โดยการเรียนรู้ทุ่มเท แต่ "คนดี" สร้างได้ยากกว่านักจนบางครั้งก็สร้างไม่ได้เลย คนเรามีการพัฒนา Super ego ซึ่งได้แก่ มโนธรรม และอุดมคติแห่งตนในช่วงวัยเด็ก 5-10 ขวบ จากนั้นสิ่งที่ได้รับ มาจะกลายเป็น โครงสร้างพฤติกรรม ของคนๆ นั้น(Frame of Reference)เขาจะใช้มัน ปรับให้เข้า
กับสิ่งแวดล้อม ที่สัมผัสโดยใช้ กระบวนการ ที่ซับซอ้นมากขึ้น การเป็นคนดีจะต้องมี การพัฒนาส่วนของ Super ego ของคนๆนั้น มาแล้ว เป็นอย่างดีโดย พ่อแม่ครูอาจารย์ ในช่วงปฐมวัย เมื่อเติบใหญ่ จะเป็นคนที่สามารถ ปรับสมดุล ในตนเองให้ได้ระหว่าง "กิเลส" จาก จิตเบื้องต่ำขับเคลื่อน ด้วย สัญชาติญาณแห่ง ความต้องการ ที่รุนแรงที่ไม่ต้องการเงื่อนไขและข้อจำกัดไดๆ กับ "มโนธรรม" ที่ขับเคลื่อนด้วย ความปารถนา ในอุดมคติแห่งตนที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดคนดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • มีความรู้ ไหวพริบ เฉลียวฉลาด (IQ= Intelligence Quatient) รู้แจ้งถึงความดีความชั่ว รู้ที่จะเอาตัวรอด จากเล่ห์อุบายของตัณหา คนชั่ว และนำพาตนเองและผู้คนให้เห็นแจ้งในทางที่ดีควร ประพฤติปฏิบัติได้
  • มีความอดกลั้น สติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุ (EQ= Emotional Quatient) จนตกอยู่ในห้วง"กิเลส" คือ โลภะ โทษะ และโมหะ และเกิดปัญญาในการแก้ไข สร้างสรรค์ และเล็งเห็น ผลเลิศในระยะยาวได้
  • มีความอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (AQ= Adversity Quatient) พร้อมที่จะเสียสละแรงกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมคติแห่งตน และความดีที่ยึดมั่น ไม่หวั่นไหว ต่อคงามลำบากและอุปสรรคไดๆ
  • ไม่เป็นผู้ยึดติดกับสิ่งไดสิ่งหนึ่งจนเกินพอดี(VQ= Void Quatient)รู้ที่จะ ปรับเปลี่ยน ตนเอง ตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ที่มี การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเหมาะสม
  • ป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม (MQ= Moral Quatient) มีสำนึกของ "ความผิดชอบชั่วดี" มีความละอายใจต่อบาป ไม่ประพฤติชั่ว มุ่งทำแต่ความดี มีจิตใจที่ผ่องใส


วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

บรรกาศงานพืชสวนโลก จ.เชียงใหม่ ปี 2554



มหกรรมงานพืชสวนโลก เฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤษ์ จัดขึืนตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ถึงวันที่ 14
มีนาคม พ.ศ. 2555 โดยจัดขึ้นที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่























วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แก๋งป๋าเต๊าะ หรือ แกงปลาสวาย(ต้มส้ม)




เครื่องปรุง
-ปลาสวาย
-กะปิ
-ขมิ้น
-กระเทียมแกะเปลือก
-พริกขี้หนูสวน
-ข่า
-ตะไคร้
-หอมแดง
-มะเขือเทศ
-น้ำมันพืช
-น้ำเปล่า

วิธีทำ
1.นำพริก กะปิ หอดแดง กระเทียม ขมิ้น ตะไคร้ ข่า เกลือ โขลกให้ละเอียด
2.หั่นปลาสวายเป็นชิ้นหนาประมาณ 2 นิ้ว
3.ตั้งกระทะใส่น้ำมัน พอร้่อนใส่กระเทียมทุบลงไปผัดพอเหลือง เอาเครื่องแกงลงผัดให้หอม
4.ใส่ปลาลงผัด พอปลาเริ่มสุกเติมน้ำเปล่าลงไป รอจนกระทั่งเดือด ใส่มะเขือเทศผ่าครึ่ง พอสุกตักใส่ถ้วย




วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค...


วารสารทางการแพทย์บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้าความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต ลองดูละกันค่ะ อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกันเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่งชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ

น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว)หรือน้ำหนักของน้ำ1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อยค่ะแต่หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆการปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัยในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอน เนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิตเนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายากลำไส้ของใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้นโรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาทความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็นปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบโรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังโรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่าท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยาไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้างปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอนนายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียวในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆมาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หายแต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้นจนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอนเมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลวเมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย 4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผลกระเพาะบิด3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผลเข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาดดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไปเพื่อเป็นการกุศล.

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การแต่งตัวของผู้ชายตัวเล็กให้ดูสูง





วันนี้ เรามีเคล็ดลับมานําเสนอ เรื่องการแต่งตัวสำหรับสุภาพบุรุษทั้งหลายที่อยากดูตัวสูง และเทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อช่วยในการเสริมบุคลิกภาพของคุณให้ดูสง่ามากยิ่งๆ ขึ้น ..

1.เลือกแบบเสื้อสักนิด
พยายามหลีก เลี่ยงเสื้อสเวตเตอร์ที่มีกระดุมมากกว่า 3 เม็ด เพราะเสื้อแบบนี้จะดึงความสนใจมาที่ช่วงบนของลำตัวคุณ นอกจากนี้เวลาสวมเสื้อหรือสเวตเตอร์ คุณต้องแน่ใจด้วยนะว่าชายเสื้อลงมาคลุมช่วงสะโพกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยเพิ่มให้คุณดูสูงขึ้นได้อีกเล็กน้อย การสวมเสื้อคอวีจะช่วยให้ลำตัวของคุณยาวขึ้น เสื้อคอเต่าจะทำให้ตัวคุณดูตัวบึก เพราะซ่อนช่วงคอของคุณไปซะหมดเลย

2.ใส่ให้พอดีๆก็สำคัญ
จำ ไว้ว่าการใส่เสื้อผ้าหลวมหลุดลุ่ยจะทำให้คุณดูเตี้ยม่อต้อทันที ฉะนั้นควรเลือกหาซื้อเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเข้ารูปพอดีกับตัวจะดีกว่า เพราะจะช่วยทำให้คุณดูมีส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้น เลี่ยงเสื้อหลวมที่ทำให้คุณต้องสอดเสื้อเข้าไปในกางเกง เพราะจะเป็นการเน้นช่วงขาและลำตัวยิ่งทำให้ดูเตี้ยลงไปอีก

3.สีเดียวที่ควรใส่
คุณ ควรจะเลือกสวมเสื้อผ้าและกางเกงให้เป็นสีเดียวกันไปเลย เพราะจะช่วยไม่ให้เห็นโครงสร้างรูปร่างที่ชัดเจนของคุณมากนัก อีกทั้งยังช่วยพรางสายตา ทำให้คุณดูสูงขึ้นมาอีกทางหนึ่ง

4.ใส่เสื้อผ้าลายแนวตั้ง
หา เสื้อผ้าที่มีลายแนวตั้ง หรือแนวทางลง จะช่วยให้ตัวของคุณแลดูยาวขึ้น ข้อแนะนำเล็กน้อย ไม่ควรสวมเสื้อผ้าลายแนวตั้งทั้งชุด เพราะมันจะไม่ได้ทำให้คุณดูดีเลย แต่ในทางกลับกันมันจะทำให้คุณดูเป็นตัวตลกมากกว่า

5.สีมืดๆและเนื้อผ้าบางเบา
โทน สีมืดๆเหมาะมากสำหรับหนุ่มๆตัวเล็ก โดยเฉพาะสีดำ หากคุณเป็นคนค่อนข้างเจ้าเนื้อหน่อยสีดำจะช่วยทำให้คุณดูมีรูปร่างบางลง และยังช่วยยืดตัวให้หนุ่มตัวเล็กทั้งหลายสูงขึ้นอีกด้วย ไม่เพียงแค่สี แต่เรื่องเนื้อผ้าก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกเนื้อผ้าที่บางเบา หรือผ้าที่มีขนาดกลางๆ เพราะจะช่วยให้คุณดูโปร่ง และดูไม่ตัน สำหรับผ้าที่มีเนื้อหนาหนักจะทำให้คุณดูตันและเตี้ยลงอีกนะ

6.กางเกงเอวต่ำ เลิกคิดได้เลย
อย่า ใส่กางเกงให้สูงจนเกินไปนัก ให้อยู่เหนือสะโพกเล็กน้อยก้อพอ หลีกเลี่ยงกางเกงเอวเอวต่ำทั้งหลาย ถึงแม้ว่ามันจะดูอินเทรนด์สุดๆ เพราะมันจะยิ่งทำให้ขาคุณสั้นกว่าความเป็นจริงอีก ไม่ควรใส่อะไรไว้จนเต็มกระเป๋ากางเกงเลย นั่นจะยิ่งทำให้ตัวคุณดูกว้างและเตี้ยลงไปอีกไงล่ะ ชายกางเกงควรลงมาปิดรองเท้าพอสมควรและให้ปิดคลุมถุงเท้าคุณได้พอดีๆ เพื่อช่วยให้ขาคุณดูยาวขึ้น

7.อย่ามองข้ามเครื่องประดับ
ควร หลีกเลี่ยงการใช้โบว์หูกระต่าย เปลี่ยนมาใช้เนคไทเส้นยาวๆดีกว่า ยิ่งได้ลายเส้นๆเป็นแนวทแยงยิ่งดี ส่วนสายเอี๊ยมนั้นถึงแม้ว่ามันจะดูน่ารัก แต่จะยิ่งเน้นช่วงบนของคุณมากขึ้น ดังนั้นเลี่ยงไปเลยดีกว่า

8.รองเท้า ช่วยได้เยอะ
ใน ส่วนของรองเท้าก็มีส่วนช่วยให้คุณดูสูงขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ คุณสามารถสวมใส่รองเท้าได้ทุกรูบแบบ เพียงแต่หารองเท้าที่มีส้นสักหน่อย โดยมีความสูงของส้นประมาณ 2-3 นิ้วก็เพียงพอ เพื่อให้ดูเหมาะสมและกลมกลืนกับสรีระของคุณ

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าคุณจะสูงแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าคุณดูดีแค่ไหนมากกว่า ดังนั้นเมื่อคุณเลือกการแต่งกายที่เหมาะสมกับตัวคุณแล้ว ก็อย่าเพิ่งลืมเรื่องบุคลิกภาพด้วย

- การวางท่าทางให้ดูดี อย่างท่าทางการนั่งคุณควรนั่งหลังตรง ถ้าเก้าอี้คุณมีเบาะหลังก็ควรนั่งหลังชิดเบาะไปเลย หรือแม้กระทั้งเวลายืนคุณก็ควรยืนหลังตรง ยืดคอตรงตลอดเวลา อย่าทำหลังงอเด็ดขาด เพราะจะทำให้ดูเตี้ยลงไปถนัดตาเลยล่ะ

- ท่องไว้เลยว่า ทรงผมสั้นเหมาะกับผู้ชายหุ่นเล็กกะทัดรัดอย่างคุณ หากคุณไว้ผมยาวรกรุงรังจนปิดช่วงคอและไหล่ ซึ่งจะทำให้ศีรษะและรูปร่างกลืนกันไปเป็นท่อนเดียว ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คุณดูสูงขึ้นเลยสักนิด