วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

Menchi Katsu


วันนี้ขอแนะนำ Menchi Katsu เป็นเมนูที่ใช้เนื้อหรือหมูสับละเอียดเป็นส่วนผสมหลัก ทอดในน้ำมันร้อนๆ อาจจะออกแนวตะวันตกนิดๆแต่ประยุกต์จนเป็นอาหารญี่ปุ่นแสนโอชะในทุกวันนี้

วิธีทำ
1นำส่วนผสมต่อไปนี้ใส่ลงในชาม มีหัวหอมใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 1 ฟอง, ขนมปังกรอบป่นละเอียด 60 g.,เกลือ 1 ช้อนชา, นมหรือไวน์แดง 1 ช้อนโต๊ะ และเหยาะผงกระเทียม,พริกไทยป่นตามชอบ จากนั้นคลุกเคล้าด้วยมือให้เข้ากัน
2นำเนื้อหรือเนื้อหมูสับละเอียดใส่ลงในชามที่ผสมเครื่องไว้แล้วประมาณ 5 ขีด คลุกเคล้านวดด้วยมือจนส่วนผสมเข้ากันดี
3เมื่อนวดจนเหนียวจับตัวกันดีแล้ว ให้กวนเป็นก้อนแล้วปาในชามอีกประมาณ 10 ครั้ง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เนื้อเหนียวนุ่มยิ่งขึ้น

4จากนั้นนำเนื้อที่ได้มาปั้นเป็นก้อนวงรี จะได้ประมาณ 5-6 ก้อน
5นำก้อนเนื้อที่ปั้นไว้ไปคลุกแป้ง, ชุบไข่ และโรยด้วยขนมปังป่นกรอบอีกที ขณะนี้เนื้อก็พร้อมที่จะรอทอดแล้วค่ะ
6 เทน้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อนจัดนิดนึง แล้วเริ่มใส่ก้อนเนื้อที่เตรียมไว้ ทอดทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วค่อยกลับนะคะ เนื้อจะได้ไม่เละติดกระทะ แล้วผลิกไปมาจนเหลืองกรอบได้ที่ เท่านี้ก็จะได้เมนูเด็ดสำหรับมื้อนี้แล้วค่ะ...เอื๊อกๆๆ

ปลาหมึกย่างซีอิ๊ว (Ika Teriyaki)


เครื่องปรุง
ปลาหมึกกระดอง 500 กรัม
ขิงดอง 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำจิ้มปลาย่าง 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. ล้างปลาหมึก เอาส่วนที่รับประทานไม่ได้ออก ผ่าและบั้งเป็นตาราง
2. คลุกเคล้าปลาหมึกกับน้ำจิ้มปลาย่าง หมักไว้ 10 นาที ย่างปลาหมึกด้วยไฟกลางพอสุกเหลือง หั่นเป็นชิ้นพอคำ
3. จัดใส่จาน ตกแต่งด้วยผัก รับประทานคู่กับน้ำจิ้มปลาย่างและขิงดอง
น้ำจิ้มปลาย่าง
ขิงแก่ทั้งเปลือกย่างหั่นบางๆ 200 กรัม
แครอททั้งเปลือกย่างหั่นบางๆ 200 กรัม
หอมใหญ่หั่นแว่น 400 กรัม
กระดูกปลาย่างสุก 200 กรัม
ปลาแห้ง 20 กรัม
น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
เหล้าสาเก 1 ถ้วย
ซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 ถ้วย
1. ใส่เหล้าสาเกลงในหม้ ตั้งไฟจนหมดกลิ่นแอลกอฮอล์
2. ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างลงไปในหม้อ ตั้งไฟกลาง พอเริ่มเดือดใส่กระดูกปลาเคี่ยวไฟอ่อนจนข้นจึงใส่ปลาแห้ง เคี่ยวต่ออีก 5 นาทีให้มีกลิ่นหอม ยกลงกรองเอาแต่น้ำ สามารถเก็บใส่ขวดไว้ใช้ได้นาน

ปัญหาสิวๆ ของชายหนุ่ม...


นพ.ประวิตร พิศาลบุตร ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด และสร้างความรําคาญใจมากด้วย เพราะส่วนใหญ่เป็นที่ใบหน้า ขอรวบรวมคำถามเกี่ยวกับโรคสิวมาตอบในฉบับนี้นะครับ ยารักษาสิวเสี้ยน

Q. มีสิวเสี้ยนเยอะมาก ปรึกษาร้านขายยาแนะนำให้ใช้ BP (เบ็นซอยล์เปอร์ออกไซด์) และกรดวิตามิน เอ อยากทราบว่ายา 2 ตัวนี้จะทาพร้อมกันได้ไหมครับเจตนิพิฐ / จ.ชลบุรี

A. ยาทา BP และกรดวิตามินเอเป็นยารักษาสิวเสี้ยนที่แพทย์และเภสัชกรมักแนะนำให้ใช้รักษาสิวเสี้ยน แต่ก็มีข้อควรระวังคือห้ามทา BP และ กรดวิตามินเอ ในเวลาเดียวกัน เพราะ BP ทำให้กรดวิตามินเอ ไม่ออกฤทธิ์ จึงต้องเลี่ยงมาทา BP ในช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายก่อนล้างหน้า และทากรดวิตามินเอ ก่อนนอน และถ้าใช้ BP หรือกรดวิตามินเออยู่แล้วต้องระมัดระวังในการใช้กรดผลไม้ เพราะยาทุกตัวที่กล่าวมามีโอกาสทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ง่าย ถ้าใช้ร่วมกันยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผิวแพ้ระคายเคือง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวหรือในคนที่อยู่ห้องแอร์เพราะผิวมักแห้งอยู่แล้ว การใช้กรดวิตามินเอนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น นอกจากนั้นบางคนในช่วงแรกของการใช้กรดวิตามินเอนอกจากจะต้องใช้ความเข้มข้นต่ำแล้วยังอาจต้องทายาวันเว้นวันไปจนกว่าผิวจะชินยาแล้วจึงทายาทุกวันได้ ถ้าใช้ยากลุ่ม BP หรือกรดวิตามินเอแล้วผิวแห้งระคายเคืองมากควรปรึกษาแพทย์ โดยทั่วไปยากลุ่มนี้ในรูปของเจลหรือสารละลายจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายกว่าในรูปของครีม และถ้าใช้กรดวิตามินเอทามานานกว่า 2 เดือนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกใช้ยาตัวอื่นที่เหมาะสมมากกว่านะครับ

ถามเรื่องการรักษาสิว

Q. ผมเป็นสิว เป็นๆ หายๆ มานาน บางครั้งซื้อยามาใช้เอง บางครั้งไปพบแพทย์ ได้ทั้งยาทา ยากิน บางครั้งแต่ละคลินิกก็ให้ยาไม่เหมือนกัน ล่าสุดมีการแนะนำให้ฉายแสงเพื่อรักษาสิว จึงอยากทราบเกี่ยวกับการรักษาสิวครับอัศนัย / จ.กรุงเทพฯ

A. โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ไม่ได้เป็นแค่ความสวยความงาม จึงมีแนวทางการรักษาทางการแพทย์อย่างชัดเจน เมื่อไม่นานมีการประชุมที่สิงคโปร์และได้มีข้อตกลงร่วมกันในแนวทางการรักษาสิวของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้ครับ

1. ยาทาเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)ถือว่าเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคสิวที่มีประโยชน์แต่ได้ผลเล็กน้อยต่อสิวชนิดอุดตัน (คอมีโดน) จึงให้ใช้ในสิวที่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงปานกลาง โดยไม่ใช้เพียงตัวเดียวในกรณีของสิวอุดตัน ยาทาตัวนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้ในความเข้มข้นต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่ไวต่อการแพ้อยู่แล้ว

2. ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid)หรือยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ที่มีหลายยุค จัดว่าได้ผลดีต่อสิวชนิดสิวอุดตันและสิวที่มีการอักเสบ ยังช่วยทำให้รอยดำที่เกิดจากสิวจางลง และมีประสิทธิภาพในการใช้รักษาอย่างต่อเนื่อง ยาชนิดนี้ช่วยการดูดซึมของยาชนิดอื่นๆ ผ่านผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคืองและแพ้ต่อแสงได้ง่าย ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงน้อยจนถึงปานกลาง โดยให้ใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อ (ในรูปของยาทาหรือยารับประทาน) เมื่อเป็นสิวอักเสบ ยากลุ่มนี้ให้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว และให้ใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบได้ อาจใช้ในรูปแบบครีมหรือรูปแบบที่พัฒนาเป็นยุคที่ 3 (third generation retinoids) สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย และใช้ในรูปแบบเจล สำหรับผู้ที่มีผิวมันเรตินอยด์หรือยาทากรดวิตามินเอยุคที่ 3 ได้แก่ adapalene และ tazarotene

3. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)มีผลใช้รักษาสิวอักเสบโดยตรง แต่ก็พบปัญหาเชื้อดื้อยาสูงขึ้น พบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์จะลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ อาจใช้ร่วมกับยาทาชนิดอื่น เช่น ยาละลายขุย (Keratolytic agents) และเรตินอยด์ เพื่อเพิ่มผลการรักษา โดยให้ใช้ทาในกรณีของสิวที่เป็นน้อย ให้ใช้ในช่วงระยะเวลาเท่าที่จำเป็น เพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา (3 – 4 เดือน) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบยารับประทานและรูปแบบยาทาร่วมกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นยาคนละชนิด ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาตัวเดียว (ควรใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย) และหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาในการรักษาต่อเนื่อง

4. ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) ที่มีชื่อการค้าหลายอย่าง เช่น Roaccutane, Acnotin, Sortret, Isotane ฯลฯ ให้ใช้เฉพาะในโรคสิวหัวช้าง สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่นๆ และสิวที่เกิดจากความเครียด ผู้ป่วยต้องทราบผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะต้องทราบว่ายาตัวนี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการ จึงต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ต้องไม่ตั้งครรภ์ระหว่างรับยา ต้องหยุดยานาน 1 เดือนขึ้นไปจึงจะตั้งครรภ์ได้ปลอดภัย ต้องไม่บริจาคเลือดและไม่นำยาไปให้ผู้อื่น ยาตัวนี้ตามกฎต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น แต่เพราะความละเลยทำให้มียาตัวนี้วางขายตามร้านขายยาหลายแห่ง ยาตัวนี้ต้องให้ต่อเนื่องกันจนได้ขนาดยาสะสมรวม 120 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องรับประทานยาไปจนครบ 120 x 60 = 7,200 มก. ถ้าทานยาเม็ด 20 มก.ต่อวัน ก็ต้องทานไปจนครบ 7,200 ? 20 = 360 วัน

ถือว่าการรักษาด้วยยาตัวนี้ประสบผลสำเร็จ เมื่อไม่มีสิวเป็นระยะเวลา 4–6 สัปดาห์ บางรายต้องได้ยาหลายคอร์ส โดยต้องเว้นระยะเวลาห่างกัน 2-3 เดือน

สำหรับการรักษาโรคสิวด้วยการฉายแสงนั้น ยังจัดว่าเป็นวิธีใหม่ แต่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาก็อนุมัติให้ใช้วิธีนี้แล้วครับ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบที่ไม่ต้องการรับประทานยา การฉายแสงและความร้อน (light and heat energy) ไปยังผิวหนังที่เป็นสิวอักเสบ พลังงานจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีในแบคทีเรียทำให้เกิดออกซิเจนขึ้นมา เนื่องจากแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวไม่ชอบออกซิเจน จึงนับเป็นวิธีการขจัดเชื้อแบคทีเหนึ่งครับ นอกจากนั้นก็มีเทคนิครักษารอยแผลเป็นจากสิวคือรอยแดง ด่างดำ รอยแผลเป็นหลุมบ่อ และรอยแผลเป็นคีลอยด์ เช่น การทำไอออนโต (Iontophoresis), การฉายแสง เช่น IPL (intensed pulse light), IPL + RF (Aurora หรือ ELOS technic, RF คือ radiofrequency = พลังงานคลื่นวิทยุ), การฉายแสงสี LED (light emitting diodes, L Smart), การขัดหน้า (microdermabrasion), การไถพรวนใบหน้าด้วยลูกกลิ้งหนาม (Dermarolling), การฉีดสเตียรอยด์รักษาคีลอยด์ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคเสริมเหล่านี้ตามความเหมาะสมครับ

เลเซอร์และฉายแสงรักษาสิว

Q. ลูกชายดิฉันอายุ 16 ปี เป็นสิวเห่อมาก จนเจ้าตัวดูเก็บกด แต่ดิฉันและคุณพ่อเขาไม่อยากให้กินยารักษาสิว เคยอ่านโฆษณาพบว่าปัจจุบันมีเลเซอร์และการฉายแสงรักษาสิวอยากขอรายละเอียดค่ะ มลยา / จ.กรุงเทพฯ

A. ปัจจุบันมีการศึกษาและวิจัยเรื่องการใช้เลเซอร์และการฉายแสงรักษาสิวกันมาก แต่ก็ยังไม่ใช่วิถีทางปกติทั่วไปที่ใช้รักษาสิวกันในขณะนี้ เพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และข้อมูลบางด้านอาจยังไม่เพียงพอ การฉายแสงและใช้เลเซอร์รักษาสิวที่มีการศึกษาและเริ่มใช้รักษาสิวในขณะนี้คือ

1. การฉายแสงสีน้ำเงิน (Blue light therapy) องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้แสงสีน้ำเงินในการรักษาสิวได้ ซึ่งแสงช่วงคลื่นเฉพาะนี้จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว เนื่องจากแสงสีน้ำเงินที่ฉายออกมานี้ไม่มีส่วนผสมของรังสียูวีจึงไม่ทำให้ผิวหนังได้รับอันตราย การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบธรรมดา แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบมากชนิดเป็นถุงซีสต์ที่เรียกว่าสิวหัวช้าง ก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล

2. การฉายพลังงานแสงและความร้อน (light and heat energy, LHE) เชื่อว่าการใช้พลังงานแสงและความร้อนจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการทำงานของต่อมไขมัน โดยทำให้ต่อมไขมันหดตัวลง ปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐอนุมัติให้ใช้แสงสีเขียวร่วมกับความร้อน รักษาสิวที่เป็นน้อยถึงปานกลาง

3. การฉายแสงร่วมกับการทา ALA มีการใช้สารละลาย ALA (aminolevulinic acid) ทาผิวหนังสารละลายตัวนี้จะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น หลังจากทายา 15-60 นาที จะเช็ดยาออกและฉายแสง เนื่องจากสารละลาย ALA ทำให้ผิวไวต่อแสง หลังการรักษาโดยวิธีนี้จึงต้องไม่โดนแดด 48 ชม.

4. การใช้เทคนิค ELOS คือ พลังงานแสงร่วมกับคลื่นวิทยุฉายสิวอักเสบ

5. การใช้ไดโอดเลเซอร์ (Diode laser)

6. การใช้เพาส์ดายเลเซอร์ (Pulsed dye laser)

การใช้การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวนั้นยังไม่จัดว่าเป็นการรักษาสิวในลำดับแรก เพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูง และผลการศึกษายังไม่มากพอว่าได้ผลดีแค่ไหน และผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหนครับ

ฝันเปียกเกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคน..?


กระบวนการสร้างตัวอสุจิของผู้ชายนั้น เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยเจริญพันธุ์แล้ว จะมีการสร้างต่อเนื่องไปตลอดเวลา โดยกระบวนการนับตั้งแต่เริ่มสร้างตัวอสุจิจนกระทั่งตัวอสุจิพัฒนาจนสมบูรณ์นั้น จะใช้เวลาประมาณ 72-74 วัน ระหว่างที่ดำเนินการสร้างตัวอสุจิอยู่นั้น ตัวอสุจิจะเดินทางผ่านท่อเล็กๆ ไปรวมกันในท่อใหญ่
ซึ่งจะส่งต่อไปที่ถังเก็บน้ำเชื้ออสุจิ เมื่อถังเก็บอสุจิมีปริมาณตัวอสุจิใกล้จะเต็มถัง ร่างกายจะมีปฏิกิริยาทำให้เจ้าของเกิดจินตนาการเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์ทางเพศอย่างใดอย่างหนึ่ง จนมีความรู้สึกเสมือนถึงจุดสุดยอด แล้วก็จะมีการบีบเอาน้ำอสุจิออกมา เพื่อให้เหลือที่ว่างสำหรับอสุจิรุ่นต่อไป นี่จึงเป็นกระบวนการทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเมื่ออสุจิกับน้ำอสุจิหลั่งออกมาในขณะที่ฝันไปนั้น จึงเปื้อนชุดนอนหรือที่นอนให้เป็นด่างดวงได้

เทคนิคการบริหารอวัยวะเพศชาย : เทคนิคการยืดขนาดอวัยวะเพศชาย


เทคนิคการบริหารอวัยวะเพศชาย : เทคนิคการยืดขนาดอวัยวะเพศชาย

สำหรับท่านที่มีหรือคิดว่าตัวเองมาขนาดอวัยวะเพศชายที่สั้นเกินไป ให้ ฝึกการยึดโดยใช้เทคนิคการยึดซึ่งใช้เวลาแค่วันละ 5 - 20 นาทีตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ การฝึกแนวนี้เมื่อทำติดต่อกันไปได้สัก 2-3 เดือน จะช่วยให้อวัยวะเพศชายของผู้ฝึกมีขนาดยาวขึ้นแต่จะไม่เพิ่มขนาดเส้นรอบวง หากต้องการเพิ่มขนาดเส้นรอบวงไปพร้อม ๆ กับความยาว ต้องฝึก การรีดไปพร้อม ๆ กับการฝึกยืดประสิทธิภาพของการยึด เพื่อให้ได้ผลสูงสุด ต้องเข้าใจว่าอวัยวะเพศชายประกอบด้วยกลุ่มเนื้อเยื่อซึ่งเป็นรูพรุน (Corpora Cavernosa) รูพรุนเหล่านี้จะขยายตัวออกเมื่อมีโลหิตไหลเข้ามาเนื่องจากมีการเร่งเร้าทาง เพศ เมื่อท่านดึงอวัยวะเพศชายออกไป รูพรุนเหล่านั้นจะถูกดึงให้ยึดออกไปด้วย คนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าการขยายหรือยึดขนาดของอวัยวะเพศชายเป็นเรื่องที่เป็นไป ไม่ได้เพราะคิดว่าองค์ประกอบของอวัยวะเพศชายมิได้เป็นกล้ามเนื้อและไม่เข้าใจ ว่าอวัยวะเพศชายทำงานเช่นใด ที่จริงแล้ว ด้วยส่วนประกอบของกลุ่มเนื้อเยื่อที่เป็นรูพรุนซึ่งธรรมชาติออกแบบมาเป็นการ เฉพาะให้ขยายตัวและยืดได้นั้นกลับทำให้การบริหารอย่างถูกต้องเพื่อขยายทั้ง ขนาดและความยาวทำได้ง่ายกว่าการขยายขนาดกล้ามเนื้ออื่นใดในร่างกายเสียอีก


การดำเนินการให้ทำเป็นขั้นตอนดังนี้

1.ในขณะที่อวัยวะอ่อนตัวให้นั่งบนเก้าอี้ ขอบเตียง หรือขอบอ่างอาบน้ำ

2.ใช้มือโดยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ทำห่วงจับ รอบคอเต่าอย่าให้แน่นหรือหลวมจนเกินไป

3.ดึงคอเต่าให้ยืดออกไปตรง ๆ จนรู้สึกตึงทั้งส่วนกลางและส่วนฐานของอวัยวะเพศชายแล้วค้างไว้ นับ 1 - 10 แล้วปล่อย ทำซ้ำ 3 รอบ

4.เลื่อนห่วงมือไปที่โคนอวัยวะเพศชายแล้วสลัดหรือแกว่งอวัยวะเพศชายไปมาแรง ๆ 50 ครั้ง

5.เลื่อนห่วงมือไปที่คอเต่าแล้วดึงอวัยวะออกไปทางซ้ายจนตึง นับ 1 - 10 แล้วปล่อยทำซ้ำ 3 ครั้ง

6.เลื่อนห่วงมือไปที่โคนอวัยวะเพศชายแล้วสลัดไปมาแรง ๆ 50 ครั้ง

7.เลื่อนห่วงมือไปที่คอเต่าแล้วดึงออกไปทางขวาจนตึง นับ 1 - 10 แล้วปล่อยทำซ้ำ 3 ครั้ง

8.เลื่อนห่วงมือไปที่โคนอวัยวะเพศชายแล้วสลัดไปมาแรง ๆ 50 ครั้ง สำหรับผู้เริ่มใหม่ ควรทำตามขั้นตอนข้างต้นติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน แล้วจึงเริ่มฝึกการยืดแบบเข้มข้นโดยยืดในทางตรง ทางซ้าย และ ทางขวาในแต่ละทิศทางให้นับให้ได้ 30 แล้วจึงปล่อย อย่าลืมสะบัด 50 ครั้งก่อนเปลี่ยนทิศทางทุกครั้ง


เทคนิคการยืดและควง

1.ยืดอวัยวะเพศชายออกไปตรง ๆ จนตึง

2.เมื่อตึงสุด ๆ แล้วให้หมุนควงเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา 30 รอบ ปล่อยพักครึ่งนาทีแล้วทำซ้ำอีก 3 ครั้ง

3.เลื่อนห่วงมือไปที่โคนอวัยวะเพศชายแล้วสลัดไปมาแรง ๆ 50 ครั้ง

4.ทำซ้ำโดยหมุนทวนเข็มนาฬิกา 30 รอบ ปล่อยพักครึ่งนาทีแล้วทำซ้ำอีก 3 ครั้ง

5.เสร็จแล้วให้รีดอวัยวะเพศชายในขณะกึ่งแข็งตัวไปอีก 30 นาที แล้วประคบด้วยผ้าร้อน 10 นาที


เคล็ดลับข้อที่ 1 การยึดอวัยวะเพศชายตามขั้นตอนข้างต้นอาจส่งผลให้เกิดการบวมช้ำ หรือ เคล็ด ขัดยอกได้ จึงควรทำแต่น้อยแล้วเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ หากมีอาการบวม ช้ำ หรือ เคล็ด ให้หยุด แล้วใช้ผ้าร้อนประคบ จนอาการทุเลาแล้วจึงเริ่มใหม่ ต้องอบอุ่น อวัยวะอย่างน้อย 10 นาทีก่อนเริ่มบริหารทุกครั้ง


เคล็ดลับข้อที่ 2 ใช้แป้งเด็กทาที่มือการบริหารจะช่วยให้การจับอวัยวะเพศชายทำได้มั่งคงยิ่งขึ้น


เคล็ดลับข้อที่ 3 ขณะที่บริหาร หากไม่สามารถควบคุมอวัยวะเพศชายให้อ่อนตัวอยู่ได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ให้หยุดทันทีที่รู้สึกว่าเริ่มสู้มือ แล้วจึงเริ่มใหม่เมื่ออวัยวะเพศชายอ่อนตัวเต็มที่